
19 พฤศจิกายน 2568 ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย - กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance: TCCA) และสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ UK–Thailand Technical Exchange Workshop: Towards a National Roadmap on Carbon Capture, Utilization and Storage (CCUS) เสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยได้รับเกียรติจากนายมาร์ค กูดดิ้ง เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และนายวุฒิกร สติฐิต ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นประธานเปิดงาน
การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นเวทีที่ผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของไทยจากภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษากว่า 70 คน ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน CCUS ในประเทศไทย มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองด้านนโยบายและเทคนิค ตลอดจนร่วมกันสนับสนุนการจัดทำโรดแมป CCUS ที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย โดยเป็นกิจกรรมต่อยอดจากการเดินทางศึกษาดูงานด้าน CCUS ของ TCCA ที่สหราชอาณาจักรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 และการจัดงาน UK – Thailand CCUS Roundtable ในโอกาสที่ศาสตราจารย์เอลิสัน ฟลาวเวอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านพลังงานของกระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนา เดินทางเยือนประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ชี้ให้เห็นถึงการร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศที่แข็งแกร่ง ซึ่งสหราชอาณาจักรยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างความร่วมมือด้าน CCUS กับประเทศไทยต่อไป เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและปล่อยคาร์บอนต่ำ

นายมาร์ค กูดดิ้ง เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 170 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศไทย ผมขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันคิดอย่างกล้าหาญว่า เราจะสามารถยกระดับความร่วมมือด้านเทคโนโลยี CCUS และการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร สหราชอาณาจักรยังคงยืนหยัดในฐานะพันธมิตรที่เข้มแข็งของไทยเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ที่จะช่วยสร้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาโลกร้อน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป

นายวุฒิกร สติฐิต ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากแนวทางในช่วงการเปลี่ยนแปลงด้านการใช้พลังงานในสหราชอาณาจักรและประเทศไทยมีแนวทางที่สอดคล้องใกล้เคียงกัน ผมมีความเห็นว่าโครงการแผนพัฒนา CCUS ร่วมกันระหว่างสหราชอาณาจักรและประเทศไทยไม่เพียงแต่สนับสนุนนโยบาย Quick Big Win ทั้งด้าน CCU และ CCUS เพื่อส่งเสริมด้านพลังงานของทางรัฐบาลไทย แต่ยังสอดคล้องกับแผน UK's Clean Power 2030 Action Plan ของสหราชอาณาจักรอีกด้วย

ดร. ภญ.อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติด้านพลังงานและบูรณาการในยุทธศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมขององค์กร ทั้งในด้านการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมเข้าใจการปล่อยคาร์บอนและตั้งเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน ไปพร้อมกับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์คาร์บอน ซึ่งเป็นทางออกสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ยาก

ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 การบรรลุเป้าหมายนี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่น นวัตกรรม และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและปล่อยคาร์บอนต่ำ จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งโครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance: TCCA) ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรระดับชาติ ซึ่งสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ผ่านศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ได้ริเริ่มจัดตั้งร่วมกับภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา โดยได้รับทุนสนับสนุนภายใต้หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และการสร้างนวัตกรรม (บพค.) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา CCUS ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม

“เป้าหมายหลักของกิจกรรมนี้คือ การรวมตัวของทุกภาคส่วนเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ รับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ให้กับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ภารกิจนี้ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยความพยายามของประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงลำพัง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลก ดังนั้นจึงเป็นเกียรติที่ได้ทำงานร่วมกับสหราชอาณาจักร ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้าน CCUS เชื่อว่าการเรียนรู้จากความสำเร็จของสหราชอาณาจักรและปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของไทย จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเติบโตของนวัตกรรม ตลอดจนผลักดันให้เทคโนโลยีและนโยบายเดินหน้าไปด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน” ดร. ภญ.อุรชาย้ำ

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม UK – Thailand CCS Knowledge Exchange Week: Towards a National CCS Roadmap ซึ่งประกอบด้วยการเยี่ยมชมเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในจังหวัดระยอง และการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเป็นเวลาสองวันครึ่ง คณะผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักรประกอบด้วย
ผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักรได้แบ่งปันประสบการณ์จากการพัฒนายุทธศาสตร์ชาติเกี่ยวกับ CCUS และการถอดบทเรียนที่สำคัญของสหราชอาณาจักร ตั้งแต่การสร้างกรอบกฎหมายที่เข้มแข็ง การออกแบบโครงการเพื่อดึงดูดการลงทุน ไปจนถึงการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ ซึ่งบทเรียนที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญ ถูกนำมาใช้เป็นกรอบกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม CCUS ในบริบทของประเทศไทย จากการระดมสมองร่วมกันของทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน กิจกรรมครั้งนี้จึงสอดคล้องโดยตรงกับนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงานที่มุ่งเร่งพัฒนาการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี พ.ศ. 2593
เผยแพร่ข่าว : นางสาวเยาวลักษณ์ ทับช้างโท
สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กลุ่มสื่อสารองค์กร
โทรศัพท์ 0 2333 3700
E-mail : pr@mhesi.go.th
Facebook : MHESIThailand
Instagram : mhesithailand
Tiktok : @mhesithailand
X (Twitter) : @MHESIThailand
YouTube : @MHESIThailand
Call Center 1313
![]()
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.