
จากกรณีมีข่าวเรื่อง “ข้าวหอมสยาม” ไม่ใช่ “ข้าวหอมมะลิ” เตือนเกษตรกรระวังการขยายผลการเพาะปลูก หวั่นไม่มีตลาดรองรับชัดเจน จนอาจเกิดข้อกังวลด้านมาตรฐานและความปลอดภัยนั้น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ยืนยันว่าข้าวหอมสยามไม่ได้มาแทนที่ข้าวหอมมะลิ แต่ข้าวหอมสยามเป็น “ข้าวเจ้าหอม” ที่มีการพัฒนาพันธุ์ผ่านการผสมพันธุ์แบบธรรมชาติที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก มีความปลอดภัย และได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์ถูกต้องจากกรมวิชาการเกษตร

• ข้าวหอมสยามไม่ใช่ GMO เป็นการคัดเลือกสายพันธุ์ตามธรรมชาติด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. เปิดเผยว่า ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. ได้มุ่งมั่นวิจัยสร้างองค์ความรู้และนำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หน่วยงานพันธมิตร และกรมการข้าวมากว่า 30 ปี เพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณลักษณะที่ดีขึ้นแก่เกษตรกรไทย ทั้งให้ผลผลิตสูง ความสามารถในการต้านทานโรค แมลง ทนต่อสภาพแวดล้อมเช่น ทนน้ำท่วม ทนแล้ง รวมถึงการพัฒนาในเรื่องกลิ่นและความหอมในพันธุ์ต่าง ๆ โดยที่ผ่านมามีพันธุ์ข้าวจาก สวทช. ที่ได้รับรองพันธุ์จากกรมการข้าวด้วยแล้วหลายพันธุ์ เช่น กข18 (ข้าวเหนียวต้านทานโรคไหม้ ลำต้นแข็งไม่ล้ม), กข51 (ปรับปรุงจากพันธุ์ขาวดอกมะลิ105 ให้มีลักษณะทนน้ำท่วมฉับพลัน), กข73 (ข้าวเจ้าทนเค็ม) และ กข75 (ปรับปรุงจากพันธุ์ขาวดอกมะลิ105 ให้มีลักษณะต้านทานโรคไหม้)
ข้าวหอมสยามเป็นข้าวเจ้าหอม นุ่ม ไวต่อแสง ให้ผลผลิตสูง คุณภาพการหุงต้มดี ปรับตัวได้ดีในสภาพน้ำน้อย ซึ่งได้ปรับปรุงพันธุ์ตั้งแต่ปี 2553 โดยมีการพัฒนาจากการผสมพันธุ์แบบธรรมชาติ ระหว่างข้าวสายพันธุ์แม่ “RGD03068-2-9-1-B (RGD03068)” ที่มีลักษณะทนแล้ง กับข้าวสายพันธุ์พ่อ “แก้วเกษตร” ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานต่อโรคไหม้ ทรงกอตั้ง ต้นเตี้ย ไม่ได้มีการใส่ยีนจากสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าไป ข้าวหอมสยามจึงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ทั้งนี้ในขั้นตอนการคัดเลือกลักษณะทนแล้ง ต้านทานโรค และคุณภาพหุงต้มจะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่มีความแม่นยำ คือการใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอช่วยในการคัดเลือก ซึ่งเป็นเทคนิคมาตรฐานของศูนย์วิจัยข้าวทั่วโลก
• ข้าวหอมสยามอยู่ระหว่างกระบวนการรับรองพันธุ์ตามมาตรฐานกรมการข้าว
ผอ.สวทช. กล่าวอีกว่า ปัจจุบันข้าวหอมสยามอยู่ระหว่างกระบวนการทดสอบและขยายพันธุ์ เพื่อประกอบการพิจารณารับรองพันธุ์โดยกรมการข้าว ซึ่งต้องดำเนินการในหลายพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อพิสูจน์ว่า พันธุ์มีสเถียรภาพการให้ผลผลิตสม่ำเสมอในหลายสภาพแวดล้อม และต้องมีการทดสอบการตอบสนองต่อปุ๋ย โดยกระบวนการนี้ต้องทำโดยสถานีทดลองและแปลงเกษตรกรในหลายจังหวัด จึงเป็นเรื่องปกติที่พันธุ์ใหม่ทุกพันธุ์จะต้องใช้เวลาพอสมควรในการดำเนินงาน ดังนั้นจึงไม่ได้หมายความว่า ข้าวหอมสยามเป็นพันธุ์ที่ไม่ได้มาตรฐานแต่ประการใด
ผอ.สวทช. กล่าวต่อว่า ข้าวหอมสยามพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ในปี 2553 ต่อมาในปี 2563 เริ่มมีการนำข้าวไปปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 530 กิโลกรัมต่อไร่ ต่อมาในปี 2564 ได้มีการขยายการปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกรในภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงราย จ.พะเยา จ.อุบลราชธานี จ.อำนาจเจริญ จ.ศรีสะเกษ จ.สกลนคร จ.นครพนม จ.ยโสธร จ.ร้อยเอ็ด จ.สุรินทร์ จ.มหาสารคาม และ จ.บุรีรัมย์ รวมพื้นที่ 21 ไร่ ซึ่งเกษตรกรให้ความสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นพันธุ์ข้าวหอมต้นเตี้ย ผลผลิตสูง ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทำให้ลดการสูญเสียผลผลิตจากการหักล้ม และลดต้นทุนในการเก็บเกี่ยว คุณสมบัติเด่นอีกประการของข้าวหอมสยามคือมีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และโรคไหม้คอรวงได้ดี ล่าสุดในปี 2567 ได้มีการขยายการปลูกทดสอบในจังหวัดพิจิตร พบว่าข้าวหอมสยามสามารถให้ผลผลิตสูงกว่า 800 กิโลกรัมต่อไร่
“ปัจจุบันข้าวหอมสยามได้การรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน (ร.พ.2) จากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้วในปี 2565 ซึ่งเป็นด่านแรกในการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือทางวิชาการ เป็นการยืนยันว่าพันธุ์ข้าวหอมสยามมีตัวตน ถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้ง สวทช. และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยังได้รับใบอนุญาตรวบรวม ขาย นำเข้า หรือส่งออกซึ่งเมล็ดพันธุ์ควบคุมเพื่อการค้า (พ.พ.1) ที่สำคัญขณะนี้ข้าวหอมสยามอยู่ระหว่างการยื่นขอรับรองพันธุ์ข้าวจากกรมการข้าว ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบผลผลิต ทดสอบคุณภาพเมล็ดทางเคมีและกายภาพ การประเมินศักยภาพการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน รวมทั้งทดสอบความต้านทานโรคและแมลงศัตรูข้าวในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ โดยขณะนี้ได้ดำเนินงานตามขั้นตอนต่าง ๆ เกือบครบถ้วนแล้ว” ผอ.สวทช.กล่าว


• สวทช. มุ่งมั่นพัฒนาพันธุ์ข้าว สร้างโอกาสแข่งขันข้าวไทยในตลาดโลก
“กระทรวง อว. โดย สวทช. มีความตั้งใจในการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้พันธุ์ข้าวที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ ลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพิ่มผลผลิตต่อไร่ รักษาความมั่นคงทางอาหารของประเทศ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทยในระยะยาว ที่ผ่านมา สวทช. เป็นหน่วยงานที่มุ่งมั่นพัฒนาด้วยวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ทั้งในเชิงสังคมและพื้นที่ และเห็นความสำคัญของการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย จึงมีความตั้งใจในการพัฒนา “นวัตกรรมพันธุ์ข้าวหอมสยาม” ที่มีคุณสมบัติตรงต่อความต้องการของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป็นพันธุ์ข้าวที่เมล็ดมีกลิ่นหอม ลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคและปรับตัวได้ดีในสภาวะน้ำน้อย และมีคุณภาพของข้าวขัดขาวตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์เกษตรกรและตลาดที่มีความต้องการข้าวคุณภาพสูงที่หลากหลาย เป็นการยกระดับคุณภาพข้าวไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก” ศ.ชูกิจ กล่าว
ข้าวหอมสยามเป็นพันธุ์ข้าวที่มีศักยภาพสูงทั้งในด้านผลผลิตและทนทานต่อสภาพแวดล้อม ตอบโจทย์ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้นความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ จะช่วยให้ข้าวหอมสยามเป็นทางเลือกให้เกษตรกรสามารถเป็นผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันได้ในตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม
เผยแพร่ข่าว : นางสาวเยาวลักษณ์ ทับช้างโท
สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กลุ่มสื่อสารองค์กร
โทรศัพท์ 0 2333 3700
E-mail : pr@mhesi.go.th
Facebook : MHESIThailand
Instagram : mhesithailand
Tiktok : @mhesithailand
X (Twitter) : @MHESIThailand
YouTube : @MHESIThailand
Call Center 1313
![]()
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.