ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีดาวเทียมสำรวจโลกความละเอียดสูงอยู่ 2 ดวง ได้แก่ ดาวเทียมไทยโชต หรือ THEOS-1 และดาวเทียม THEOS-2 ประจำการอยู่ในวงโคจร คอยบริการข้อมูลให้กับหน่วยงานต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลานานกว่า 17 ปี
ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ดาวเทียมของ GISTDA มีบทบาทสำคัญในการวางแผนตอบสนองต่อภัยพิบัติ ความมั่นคง และใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากร สิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และการตัดสินใจเชิงนโยบายของทั้งภาครัฐและเอกชน
อย่างไรก็ตาม ดาวเทียมทั้งสองดวงของ GISTDA นั้นยังไม่เพียงพอต่อการตอบสนองต่อความจำเป็นของประเทศ ทั้งด้านจำนวนของดาวเทียม และข้อจำกัดในการถ่ายภาพต่าง ๆ จึงเป็นจุดริเริ่มของกลุ่มดาวเทียมสำรวจโลก หรือ Satellite Constellation ของประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก
ดร.พรเทพ นวกิจกนก ผู้อำนวยการศูนย์ผลิตดาวเทียมแห่งชาติ เปิดเผยว่าโครงการดังกล่าวเป็นโครงการระดับ “เรือธง” ของ GISTDA การพัฒนาดาวเทียม THEOS-2A วิศวกรไทยที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อย่างศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติ ตลอดจนการสร้างผู้ประกอบการ ที่ได้มีส่วนในการผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน GISTDA กำลังพัฒนาดาวเทียม THEOS-3 ที่กระบวนการออกแบบทั้งหมดดำเนินการโดยวิศวกรไทย และมีการใช้ศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมฯ เป็นโรงงานในการสร้างดาวเทียม รวมถึงมีการยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมอวกาศไทย ผ่านผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ได้พัฒนาชิ้นส่วนให้กับดาวเทียมดวงนี้
ดาวเทียม THEOS-3 มีศักยภาพการบันทึกภาพในช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้ (VNIR) และย่านอินฟราเรดคลื่นสั้น (SWIR) สำหรับการใช้งานด้านเกษตรกรรม อาทิ การติดตามการเจริญเติบโต สุขภาพและความสมบูรณ์ของพืช รวมถึงภัยพิบัติด้านเกษตร โดยสามารถติดตามถ่ายภาพได้อย่างต่อเนื่อง การเพิ่มศักยภาพการใช้ข้อมูลดาวเทียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ดร.พรเทพ เปิดเผยว่า “ข้อมูลจากดาวเทียมของ GISTDA ในปัจจุบันก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงยังมีข้อจำกัดจากการบันทึกภาพถ่ายจากดาวเทียมประเภท optical และยังมีการพึ่งพาข้อมูลบางส่วนจากต่างประเทศ ที่มีข้อจำกัดพอสมควร ส่งผลให้ยังขาดข้อมูลเพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที” และในปัจจุบันมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่มีการใช้งานข้อมูลจากดาวเทียมเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องเข้าถึงพื้นที่อย่างแม่นยำ ครอบคลุม และทันเวลา ด้วยข้อมูลที่หลากหลาย
เพื่อให้มีการนำข้อมูลจากดาวเทียมไปใช้ประโยชน์ต่อประเทศได้มากที่สุด GISTDA ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการจัดการปัญหา 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ด้านเกษตร ด้านภัยพิบัติและความมั่งคง และด้านทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม โดยมีการจัดสัมมนารับฟังความเห็นและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานต่าง ๆ ของประเทศไทย ที่มีการใช้ข้อมูลจากดาวเทียมในปัจจุบัน ไปจนถึงกลุ่มภาคการศึกษา นักวิจัย และหน่วยงานที่มีโอกาสในการใช้ข้อมูลดาวเทียมในอนาคต
GISTDA ได้จัดการสัมมนารวม 2 ครั้ง เพื่อรวบรวมข้อมูลความต้องการจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันออกแบบกลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการมากที่สุด โดยสามารถแบ่งประเภทของกลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกดังกล่าวได้ดังนี้:
กลุ่มดาวเทียมด้านการเกษตร ประกอบด้วย ดาวเทียม THEOS-3A, THEOS-3B, THEOS-3C, THEOS-3D, และ THEOS-3E เป็นกลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกประเภท Optical หรือช่วงแสงที่ตามองเห็น มีความละเอียดปานกลาง แต่สามารถถ่ายภาพพื้นที่ได้กว้างกว่า เข้าถึงตำแหน่งเดิมได้ถี่กว่า ซึ่งจำเป็นต่อการติดตามความเปลี่ยนแปลงในเชิงเกษตรกรรมของประเทศไทย
กลุ่มดาวเทียมด้านภัยพิบัติและความมั่นคง ประกอบด้วย ดาวเทียม THEOS-4A และ THEOS-4B ที่ใช้ตรวจดูและติดตามจุดความร้อน ด้วยการใช้เซนเซอร์ Optical-Thermal Infrared ซึ่งมีความสามารถในการเฝ้าระวังการเผาไหม้จากกิจกรรมของมนุษย์ การรั่วไหลของก๊าซ ตลอดจนอุณหภูมิพื้นผิวทะเล
ด้านดาวเทียม THEOS-5A, THEOS-5B, THEOS-5C, และ THEOS-5D ซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวเทียมด้านภัยพิบัติและความมั่นคงเช่นกัน จะใช้เทคโนโลยีเรดาร์แบบ SAR หรือ Synthetic Aperture Radar ในแบบ C-Band, X-Band และ L-Band เพื่อให้ถ่ายภาพได้ทุกสภาวะอากาศ กลางวัน กลางคืน และสนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
และกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มดาวเทียมด้านทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เป็นการพัฒนาดาวเทียม THEOS-6 ดาวเทียมสำรวจโลกความละเอียดสูง เพื่อมาปฏิบัติภารกิจควบคู่กับดาวเทียม THEOS-2 ที่กำลังประจำการอยู่ในปัจจุบัน ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างทันท่วงทียิ่งขึ้น
เพื่อรองรับแผนการพัฒนากลุ่มดาวเทียมจำนวนมาก ดร.พรเทพ เล่าว่า “อาจมีการขยับขยายศูนย์ประกอบและทดสอบดาวเทียมแห่งชาติ เพื่อให้มีอุปกรณ์และระบบเพิ่มเติม รองรับต่อการผลิตดาวเทียมพร้อมกันได้มากถึง 3 ดวงในเวลาเดียวกัน” โดยเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านอวกาศของไทย ไปพร้อมกับส่งเสริมขีดความสามารถด้านบุคลากรและอุตสาหกรรมในเวลาเดียวกัน
หากแผนดำเนินการนี้ประสบความสำเร็จ GISTDA จะสามารถนำส่งดาวเทียมทั้ง 12 ดวงขึ้นสู่วงโคจรได้ภายในระยะเวลา 6 ปี หลังจากได้รับงบประมาณ สร้างหลักประกันการเข้าถึงข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมในสถานที่และเวลาที่ต้องการ ตลอดจนสามารถนำข้อมูลจากดาวเทียมมาใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบุคลากรชาวไทย ที่มีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก
นอกจากการพัฒนากลุ่มดาวเทียมสำรวจโลกของประเทศไทย GISTDA ยังได้มีการผลักดันร่างพระราชบัญญัติกิจการอวกาศ ตลอดจนการพัฒนา Space Value Chain เพื่อให้เกิดการสร้างงานในประเทศ ยกระดับองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมผ่านงานวิจัยขั้นสูง นําไปสู่การดึงดูดการลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ ให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นําด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สามารถติดตามความคืบหน้าของโครงการกลุ่มดาวเทียมสำรวจโลก และงานด้านต่าง ๆ ของ GISTDA ได้ทางแฟนเพจของ GISTDA และช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ
ที่มา : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.)
https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=8789&lang=TH
เผยแพร่โดย : นางสาวสุวดี เหมือนอ้น
กลุ่มสื่อสารองค์กร (สอ.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3880
E-mail : pr@mhesi.go.th
Facebook : @MHESIThailand
Instagram : mhesi_thailand
Tiktok : mhesi_thailand
Twitter : @MHESIThailand
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.