เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ศ.ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานประชุม Side Event ในหัวข้อเรื่อง “AI for Disaster Preparedness and Response” ณ Kyoto International Conference Center เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
ศ.ดร.ศุภชัย กล่าวว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติรุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสะท้อนว่าโลกของเรากำลังเผชิญภัยธรรมชาติที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น ในส่วนของประเทศไทยเองต้องเผชิญกับน้ำท่วมและแผ่นดินไหว ซึ่งท่ามกลางวิกฤตเหล่านี้ AI คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์สามารถรับมือกับวิกฤติเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กำลังคนรุ่นใหม่ถือว่าเป็นพลังสำคัญของอนาคต กระทรวง อว. จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชนและกำลังคนรุ่นใหม่ รวมทั้งผลักดันการแสดงบทบาทในเวทีระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง
ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุม โดยกล่าวว่า วช. ในฐานะหน่วยงานให้ทุนวิจัยและนวัตกรรมหลักของประเทศ ได้ส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมที่มีการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการคาดการณ์และเตือนภัยล่วงหน้า รวมถึงการประเมินความเสียหาย และการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีการเชื่อมโยงความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัย ภาครัฐ และพันธมิตรระหว่างประเทศ เพื่อให้เทคโนโลยีเข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการลงทุนในนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ เพื่อสร้างรากฐานแห่งอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน
Prof. Hiroshi Komiyama, Chairman of STS forum กล่าวถึงความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและ STS forum โดยเฉพาะการประชุม STS Forum ASEAN–Japan Conference ครั้งที่ 8 ที่จัดขึ้น ณ กรุงเทพฯ เมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้กำหนดนโยบาย นักวิจัย และผู้นำอุตสาหกรรมเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การใช้ประโยชน์จาก AI และเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technologies)
ขณะที่ Dr. Kaoru Takara, President of the National Research Institute for Earth Science and Disaster Resilience (NIED) ประเทศญี่ปุ่น ได้กล่าวว่าการวิจัยเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ ต้องควบคู่กับการพัฒนาคือการสร้างคุณค่า ทั้งสองสิ่งนี้ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกิดประโยชน์ต่อสังคม โดยหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวโกเบและโทโฮคุ ญี่ปุ่นได้พัฒนาเครือข่ายตรวจวัดแผ่นดินไหวและสึนามิทั่วประเทศ (MOWLAS) และระบบข้อมูลแบบบูรณาการ Shared Information Platform for Disaster Management: SIP4D เพื่อให้สามารถคาดการณ์และเตือนภัยได้รวดเร็วขึ้น พร้อมทั้งมีศูนย์ทดลองขนาดใหญ่ เช่น E-Defense และเครื่องจำลองสภาพอากาศ เพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรับมือภัยพิบัติ Dr. Kaoru Takara เน้นย้ำว่า AI มีศักยภาพในการพัฒนาการพยากรณ์ การเตือนภัย และการตอบสนองต่อภัยพิบัติ แต่สิ่งสำคัญคือการผสาน “ความรู้ชัดแจ้ง” (Explicit Knowledge) ที่ AI ใช้งานได้ กับ “ความรู้โดยนัย” (Tacit Knowledge) จากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติ และสร้างสังคมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
พร้อมนี้ วช. ได้จัดการเสวนา 2 หัวข้อสำคัญ ได้แก่ เรื่องที่ 1 “AI and Health Innovations for Disaster Preparedness” ดำเนินรายการโดย นางสาวศิรินทร์พร เดียวตระกูล รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และ รองศาสตราจารย์ ดร. อนรรฆ ขันธะชวนะ ผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการ โดยมี STS forum Young Leaders จากประเทศไทยร่วมอภิปราย ดังนี้
1. รองศาสตราจารย์ ดร. กฤต จารุพานิช คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
2. รองศาสตราจารย์ ดร. ธีรวิทย์ วิไลประสิทธิ์พร สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันวิทยสิริเมธี
3. ดร. สิทธิประภา อิศรางกูร ณ อยุธยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ซึ่งจากการเสวนามีข้อสรุปชี้ว่า AI สามารถยกระดับระบบสุขภาพให้มีความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติ ผ่านการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น telemedicine และ home isolation ช่วงโควิด-19 ที่ช่วยให้แพทย์ติดตามคนไข้ระยะไกล การวิเคราะห์สัญญาณชีวภาพเพื่อวินิจฉัยโรค รวมถึงเครื่องมือสื่อสารสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน เพื่อให้การสื่อสารในภาวะฉุกเฉินครอบคลุมทุกกลุ่มประชาชน
ประเด็นที่ 2 เรื่อง “Innovative Science and Technology for Disaster Resilience” ดำเนินรายการโดย รองศาสตราจารย์ ดร. ดุสิต อธินุวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการ และนางสาวขวัญศิริ ชนยุทธ ผู้อำนวยการกลุ่มวิเทศสัมพันธ์ วช. โดยมี STS forum Young Leaders จากประเทศไทยร่วมอภิปราย ดังนี้
1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิทธิวุฒิ เจริญสุทธิวรากุล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิริยา ทองสมบูรณ์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
3. ดร. สุนทร ตันติถาวรวัฒน์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
การเสวนาได้สะท้อนบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคม เช่น การพัฒนาไบโอเซนเซอร์ตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยงเพื่อป้องกันการระบาดในฟาร์ม การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางเคมีและชีวภาพเพื่อตรวจจับเชื้อและสารเคมีรั่วไหล รวมถึงการพัฒนา Organ-on-Chip สำหรับทดสอบยาซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับ AI และ Machine Learning เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
การจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมให้นักวิจัยรุ่นใหม่ของไทยได้แสดงศักยภาพในเวทีนานาชาติ เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับนักวิจัยทั่วโลก และยกระดับขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับโลกยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
เผยแพร่ข่าว : นางสาวพรชิตา รุกขชาติ
สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กลุ่มสื่อสารองค์กร
โทรศัพท์ 0 2333 3700
E-mail : pr@mhesi.go.th
Facebook : MHESIThailand
Instagram : mhesithailand
Tiktok : @mhesithailand
X (Twitter) : @MHESIThailand
YouTube : @MHESIThailand
Call Center
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.