“ศ.ดร.ศุภชัย” ปลัด อว. เผย อว. เตรียมรับมือความท้าทายโลก ทั้งเดินหน้ายกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้าน วทน. ปรับปรุงกฎระเบียบส่งเสริมการวิจัย พัฒนากำลังคนทักษะสูง-ผู้มีความสามารถพิเศษ สร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแกร่งเอื้อต่อการเกิดอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมบริหารจัดการทุนวิจัยให้คล่องตัว โปร่งใส มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ศักยภาพของอุดมศึกษาและ ววน. ในการกำหนดตัวชี้วัดสำคัญเพื่อการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของไทย” ในงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2028) จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการ วช., ศ.กิตติคุณ นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานคณะกรรมการพิจารณางบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ 2569 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ผศ.ดร.วีรชัย อาจหาญ ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และนักวิจัย อาจารย์ นักศึกษา เข้าร่วม ณ World Ballroom ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
ศ.ดร.ศุภชัย กล่าวว่า ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย จากสถาบันจัดอันดับนานาชาติ IMD World Competitiveness Center ประจำปี 2024 (พ.ศ. 2567) เป็นที่น่ายินดีว่า ในปีนี้ประเทศไทยมีอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันโดยรวมดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยขยับขึ้นมาถึง 5 อันดับ จากอันดับที่ 30 ในปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 25 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาครั้งนี้มาจากสมรรถนะทางเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดดจากอันดับ 16 มาอยู่ที่อันดับ 5 โดยเฉพาะด้านการค้าระหว่างประเทศที่ทะยานจากอันดับ 29 มาสู่อันดับ 6 และประสิทธิภาพของภาคธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นจากอันดับ 23 มาอยู่ที่อันดับ 20 โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการที่ดีขึ้นจากอันดับ 22 มาอยู่ที่อันดับ 15 เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอาเซียนประเทศไทยยังคงรั้งอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ (อันดับ 1 ของโลก) อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นที่เราต้องให้ความสำคัญและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านประสิทธิภาพของภาครัฐและโครงสร้างพื้นฐานโดยรวม ที่อันดับของเรายังคงที่อยู่ที่ 24 และ 43 ตามลำดับ เมื่อพิจารณารายละเอียดในปัจจัยย่อย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวง อว. โดยตรง พบว่าในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ แม้ว่าอันดับจำนวนผลงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะดีขึ้นจาก 29 เป็น 25 (จาก 13,468 เป็น 18,491 ผลงาน) และจำนวนสิทธิบัตรที่มีผลบังคับใช้ต่อประชากร 100,000 คน ดีขึ้นจาก 56 เป็น 55 (จาก 5.5 เป็น 6.2) แต่ก็มีตัวชี้วัดที่อันดับลดลง เช่น สภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่เอื้อต่อการทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ (ลดจาก 34 เป็น 43) และค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของทั้งประเทศต่อ GDP (ลดจากอันดับ 34 ที่ 1.21% เป็นอันดับ 37 ที่ 1.16%) ในด้านการศึกษาแม้ว่าค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของทั้งประเทศต่อ GDP จะมีอันดับดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 51 เป็น 32 (จาก 3.60% เป็น 4.80%) และอัตราส่วนประชากรที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษาดีขึ้นจาก 46 เป็น 44 (จาก 35% เป็น 36%) แต่ก็ยังมีประเด็นท้าทาย เช่น การจัดการศึกษาสาขาบริหารจัดการที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ (ลดจาก 19 เป็น 32) และทักษะทางภาษาที่ตอบโจทย์ภาคธุรกิจ (ลดจาก 47 เป็น 54)
ศ.ดร.ศุภชัย กล่าวต่อว่า ขณะที่ ผลการจัดอันดับดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index 2024) ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 41 จาก 133 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นอันดับที่น่าพอใจและที่สำคัญคือ ประเทศไทยยังคงมีความก้าวหน้าในด้านนวัตกรรมที่สูงกว่าความคาดหมายเมื่อเทียบกับระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (GDP per capita) โดยอยู่ในกลุ่มเดียวกับประเทศเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินเดีย สะท้อนศักยภาพของเราในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ทางด้านสถานการณ์ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศไทย ข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลการสำรวจค่าใช้จ่ายและบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ประจำปี 2567 (สำรวจข้อมูลปี 2566) โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ที่พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของประเทศโดยรวมอยู่ที่ 168,106 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP (GERD/GDP) ที่ 0.94% ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้า (1.16% ในปี 2565 ที่มีมูลค่า 201,415 ล้านบาท) การลดลงนี้ส่วนใหญ่มาจากการลงทุน R&D จากภาคเอกชนที่ลดลง โดยสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนอยู่ที่ 67% ในปี 2566 (ลดลงจาก 73% ในปี 2565) สาเหตุหลักมาจากการบริหารจัดการต้นทุนของภาคเอกชน ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ความต้องการสินค้าทั้งในและต่างประเทศที่ลดลง และการปรับนโยบายการลงทุน R&D ของบริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออก ที่อาจมีการรวมศูนย์การทำ R&D ไว้ที่บริษัทแม่ หรือมีการลงทุนด้านครุภัณฑ์และห้องปฏิบัติการไปมากแล้วในปีก่อนหน้า ทำให้การลงทุนในปี 2566 ลดลง
“จากข้อมูลทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ แต่ก็ยังเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Disruptive Technology) และปัจจัยภายในประเทศ กระทรวง อว. ตระหนักถึงความท้าทายเหล่านี้และมุ่งมั่นที่จะยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (New S&T Infrastructure) รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการวิจัยและส่งเสริมการลงทุน R&D อย่างจริงจัง พัฒนาบุคลากรทักษะสูง (High skilled workforce) และผู้มีความสามารถพิเศษ (Talent development) ให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมปัจจุบันและอนาคต (Existing & Future Demand) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการพัฒนาทักษะที่จำเป็น เช่น ภาษาและทักษะดิจิทัล สร้างระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง เอื้อต่อการเกิดอุตสาหกรรมใหม่ (New Industry) และการนำผลงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ (Deep tech spin-off) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการบริหารจัดการทุนวิจัยให้เกิดความคล่องตัว โปร่งใส และสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและตอบโจทย์ประเทศ” ปลัดกระทรวง อว. กล่าว
ข่าว : นางสาวศิริลักษณ์ สิกขะบูรณะ
ถ่ายภาพ : นายสุรกิจ แก้วมรกต
สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กลุ่มสื่อสารองค์กร
โทรศัพท์ 0 2333 3700
E-mail : pr@mhesi.go.th
Facebook : MHESIThailand
Instagram : mhesithailand
Tiktok : @mhesithailand
X (Twitter) : @MHESIThailand
YouTube : @MHESIThailand
Call Center 1313
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษาไทย วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปสู่มาตรฐานในระดับสากล และเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันในระดับนานาชาติอย่างยั่งยืน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร หากท่านพบว่ามีข้อมูลใดๆ ที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้ โปรดแจ้งให้ทราบ เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยเร็วที่สุดต่อไป
© 2020 Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation. ALL RIGHTS RESERVED.